แม้ว่าจีนยังคงมีความได้เปรียบด้านราคา แต่แนวโน้มการปกป้องทางการค้า (Trade Protectionism) ทั่วโลกกลับทวีความเข้มข้นขึ้น นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา หลายประเทศได้ออกมาตรการจำกัดการนำเข้า ซึ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อการส่งออกเหล็กของจีน
- 1 กันยายน: อินโดนีเซียเริ่มการไต่สวนการทุ่มตลาด (Anti-dumping Investigation) ต่อการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot-rolled Coil) จากบริษัท Wuhan Iron & Steel (Group) Corporation ของจีน
- 10 กันยายน: อียิปต์เริ่มการไต่สวนเพื่อใช้มาตรการปกป้องการค้า (Safeguard Investigation) ต่อเหล็กรีดเย็น (cold-rolled) เหล็กชุบสังกะสี (galvanized) และเหล็กเคลือบสี (pre-painted steel) และในวันที่ 14 กันยายน ได้ประกาศเก็บภาษี safeguard ชั่วคราว ต่อเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน (hot-rolled coil) ที่อัตรา 13.6% ของมูลค่า CIF หรืออย่างน้อย EGP 3,673 ต่อตัน
- 22 กันยายน: เวียดนามเริ่มการไต่สวนมาตรการการหลีกเลี่ยงภาษี (Anti-circumvention Investigation) ต่อเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน (hot-rolled coils) ของจีน ที่มีความกว้างระหว่าง 1,880–2,300 มิลลิเมตร โดยก่อนหน้านี้เวียดนามได้เก็บภาษีการตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping duty) สินค้าเหล็กรีดร้อนม้วนของจีน (ที่มีความกว้าง ≤1,880 มม.) ที่ 23.01%–27.83% มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2025 เป็นระยะเวลา 5 ปี
- 7 ตุลาคม: คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ประกาศมาตรการควบคุมการนำเข้าครั้งใหม่ ซึ่งจะมาแทน safeguard mechanism ชุดเดิม ในเดือนมิถุนายน 2026 โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
- 1. ลดโควตาการนำเข้า – ลดโควตาการนำเข้าเหล็กปลอดภาษี (duty-free import quota) รายปีลง โดยลดลงเหลือ 18.3 ล้านตัน หรือลดลง 47% จากปี 2024
- เพิ่มอัตราภาษีนอกโควตา – ภาษีนำเข้านอกโควตาเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากเดิมที่ 25%
- เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบแหล่งที่มา – ผู้นำเข้าต้องระบุสถานที่หลอม (melting) และหล่อเหล็ก (casting) ของเหล็กต้นทาง เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและเพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบสินค้า
การเข้มงวดของมาตรการทางการค้าในหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกเหล็กของจีนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
แหล่งที่มา : Steelhome